ก่อนอื่นสำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้จักผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อว่า "สมัคร ชัยสงวน" หรือชื่อเล่น "แม็ค" ตอนนี้เป็นโปรแกรมเมอร์อาวุโส (senior programmer) อยู่บริษัทแห่งหนึ่งในกทม มีความชอบในการเขียนบทความเพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำ เผื่อวันหนึ่งนั้นตัวเองจะได้มีโอกาสกลับมาอ่านมันเอง ต้องเล่าย้อนความไปก่อนว่าทำไมผมถึงอยากเรียนต่อ ?
แรกเริ่มเดิมทีผมตั้งใจที่จะอยากไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไหนก็ได้สักที่หนึ่ง แต่ในการที่จะเป็นอาจารย์นั้นจำเป็นต้องมี คุณวุฒิ "ปริญญาโท" ถึงจะสามารถไปสอนปริญญาตรีได้ เงื่อนไขเพิ่มเติมคือต้องเป็นปริญญาโทที่เป็น แผน ก. หรือต้องทำวิทยานิพนธ์ด้วย ดังนั้นผมจึงเริ่มมองหามหาลัยที่ผมจะสามารถเข้าไปเรียนได้โดยมีเงื่อนไขอยู่สองอย่างด้วยกันคือ
- ไม่ต้องไปเรียนทุกเสาร์อาทิตย์
- ค่าเทอมที่ไม่แพงมาก
เหตุผลที่ 1 คือผมไม่ค่อยจะมีเวลาว่างมากนักแม้แต่เวลาช่วงเสาร์ทิตหรือเวลานอน ส่วนตัวผมคิดว่าคงมีโปรแกรมเมอร์หลาย ๆ คนที่ทำแบบผมหรือผมทำแบบคนอื่น นั้นคือการประกอบอาชีพฟรีเลนซ์ (Freelancer) พร้อมกับอาชีพประจำจึงเป็นที่มาที่ไปของการไม่ค่อยมีเวลา แน่นอนคุณจะได้มาซึ่งรายได้แต่ขณะเดียวกัน "สุขภาพ" คุณก็จะแย่ลงไปพร้อมกับการทำงานอย่างหนัก
เหตุผลที่ 2 คือด้วยความที่ผมมี "ภาระ" ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงรายทาง ซึ่งถ้าผมเอาไปทุ่มกับค่าเทอมเพียงอย่างเดียวนั้นส่วนอื่นที่ต้องจ่ายต้องประสบปัญหาการใช้จ่ายเป็นอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเลือกมหาลัยที่มีค่าเทอมที่ผมพอจะชำระได้ ไม่ลำบากมากนัก
เลือกมหาวิทยาลัย จากเงื่อนไขข้างต้นจึงได้ตัวเลือกมาไม่มากนักนั้นคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กับ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรก และแห่งที่สองเรียงติดกันของประเทศไทย หรือที่เขาเรียกว่า "ตลาดวิชา" ที่ผู้เรียนสามารถเลือกวิชาที่เรียนเวลาที่เรียนเองได้ แต่สุดท้ายมหาวิทยาลัยที่ผมเลือกคือ "มหาวิทยาสุโขทัยธรรมธิราช"
ความคิดแรก ๆ ที่ผมตัดสินใจเรียน ผมคิดว่าคง "เรียนไม่น่ายาก" ประมาณว่า "จ่ายครบจบแน่" ผมเลยหันกับมาที่ตัวเองแล้วลองนับเงินดูคิดว่าคงพอ สบาย ๆ พร้อมจะ Pay แต่พอไปเรียนจริง ๆ กับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด
ขั้นตอนก็เหมือนกระบวนการศึกษาทั่วไป Flow มันจะเป็นดังนี้
- สมัครเรียน (สมัครผ่านไปรษณีย์)
- คัดเลือกนักศึกษา (ผ่านการคัดเลือก)
- ลงทะเบียนเรียน เลือกแผนการศึกษา (ลงทะเบียนผ่านไปรษณีย์)
- ประถมนิเทศ (ไปที่มหาวิทยาลัย หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ)
- เริ่มเรียน (Courses work)
- ปิดเทอม (15 วันโดยประมาณ)
- เปิดเทอม
- สอบ (ตามโรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด)
- ทำวิทยานิพนธ์(Thesis) หรือ ค้นคว้าอิสระ (IS)
- รับปริญญา (ยังไม่ได้รับ)
ในส่วนนี้ผมตกใจขั้นตอนหนึ่งคือตอนมาประถมนิเทศนักศึกษา ผมได้ไปเจอเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีคือ "อิ๋ว" แอบตกใจเล็กน้อยว่าทำไมบังเอิญขนาดนี้ เอาละตอนนั้นผมคิดว่าโชคดีจังที่ได้มีเพื่อน ผมไม่เหงาแล้ว อีกอย่างคือสมัยเรียน "อิ๋ว" จะเป็นเลขาที่ดีมากของผม ช่วยสนับสนุนหลาย ๆ โครงการ กิจกรรมหลาย ๆ อย่างให้ประสบความสำเร็จ และมักจะทำได้ดีและได้ที่หนึ่งมาตลอดทุกครั้งที่ได้ทำงานกันเป็นกลุ่ม
เริ่มเรียน ด้วยความที่นักศึกษา มสธ ส่วนใหญ่จะอยู่ต่างจังหวัดการเรียนต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางคนก็เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว เครื่องบิน หรือรถประจำทางตามที่สะดวก แต่ต้องมาพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย เพราะบางครั้งจะมีการจัดการสอนติดกันถึงสองวันหรือ 5 วัน ที่มากสุด แต่ก็ไม่ได้เรียนบ่อย ๆ ผมก็เป็นหนึ่งที่ต้องไปใช้ห้องพักโรงแรมใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยเพราะคิดว่าเดินทางเช้าคงเหนื่อย เพราะตอนนั้นผมก็พักอยู่ที่คอนโดแถว ๆ แบรริ่งเดินทางก็ไกลพอสมควร เลยตัดสินใจพักอยู่โรงแรมบริเวณนั้น
ในการเรียนนั้นแน่นอนต้องมี "การบ้าน" ซึ่งทางมหาลัยมีระบบส่งการบ้านออนไลน์ โดยอาจารย์ประจำวิชาจะเป็นคนสร้างหัวข้อการบ้านขึ้นมา ที่นักศึกษาจะต้องทำส่ง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "โมดูล" ด้วยความมักง่ายหรือขี้เกียจ ของผมเองการบ้านที่ทำจึงออกมาดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วแต่งานแน่นอนว่ามันมีผลโดยตรงกับคะแนนเก็บ เพราะมันมีผลมากถึง 40 % ของคะแนนทั้งหมด
ช่วงสอบเป็นช่วงที่สนุกสนานกันมาก ๆ เพื่อนที่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับข้อสอบ ก็จะมาแชร์แบ่งปันกัน คนที่ไม่แบ่งผมไม่รู้นะแต่ของผมแบ่งให้เพื่อน ๆ หมดทุกอย่างทุกสิ่งที่คิดว่าอาจารย์จะออก ซึ่งมันก็มาจากคำแนะนำของอาจารย์นั้นแหละ แล้วผมนำมาย่อเพื่อให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ พอสอบออกมาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักในการทำข้อสอบ
ตัดบทมาที่ช่วงสุดท้ายของการเรียนปริญญาโท คือมันมีอุปสรรคที่ใครหลาย ๆ คนไม่สามารถก้าวผ่านระหว่างคำว่า "บัณฑิต" กับ "มหาบัณฑิต" แน่นอนว่าเราต้องทำ "วิทยานิพนธ์" ซึ่งมันก็จะมีรูปแบบขั้นตอนของมันเริ่มตั้งแต่หา หัวข้อ สอบหัวข้อ เสนอกรรมการสภาอนุมัติ และแน่นอนว่าทำเล่น ๆ ไปไม่ผ่านแน่นอน คือถ้าไม่ผ่านกระบวนการได้มาซึ่งหัวข้อก็จะทำขั้นตอนต่อไปไม่ได้ ! เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนยังติดอยู่กระบวนการหาหัวข้อ มันมีรายละเอียดเยอะแยะไปหมดเช่น ต้องห้ามซ้ำ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นเรื่องที่อยู่ในสภาวการณ์ปัจจุบัน อีกอย่างคือต้องเตรียมข้อมูลให้ครบสำหรับคำถามของ อาจารย์ ทำพาวเวอร์พอยท์ให้ดูดีละเอียด
เมื่อได้มาแล้วซึ่งหัวข้อต่อมาก็ต้องมาหาอาจารย์ที่ปรึกษา ในระหว่างที่เรานำเสนอหัวข้ออยู่ก็จะมีคณาจารย์มาร่วมรับฟังอยู่ถ้าหาก อาจารย์ท่านใดมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เรากำลังจะทำอยู่ ท่านก็จะเสนอตัวขึ้นมาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ หรือเราไปหาอาจารย์โดยตรงเพื่อขอให้เป็นที่ปรึกษา
เมื่อได้มาแล้วซึ่งหัวข้อต่อมาก็ต้องมาหาอาจารย์ที่ปรึกษา ในระหว่างที่เรานำเสนอหัวข้ออยู่ก็จะมีคณาจารย์มาร่วมรับฟังอยู่ถ้าหาก อาจารย์ท่านใดมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เรากำลังจะทำอยู่ ท่านก็จะเสนอตัวขึ้นมาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ หรือเราไปหาอาจารย์โดยตรงเพื่อขอให้เป็นที่ปรึกษา
ช่วงการทำวิจัย เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดสำหรับผมนะ แน่นอนการเขียนโปรแกรมได้ มันยังไม่พอสำหรับการทำวิจัย คุณจำเป็นต้องเขียน "เล่มวิจัย" ให้ได้ 5 บท และเป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังมีเงื่อนไขอีกอย่างด้วยว่า งานของคุณต้องเป็นที่ยอมรับในระดับชาติ ด้วยวิธีการคือต้องได้รับการตีพิมพ์ และจำเป็นต้องไปนำเสนองานผ่านเวทีระดับชาติที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งการที่จะไปเวทีประชุมวิชาการได้คุณได้มี ผลงานทางวิชาการในรูปแบบ "บทความ" แน่นอนว่าต้องเขียนมัน ผมจำได้ว่าผมเขียนและแก้ไปไม่รู้กี่รอบจากสิ่งที่เพื่อน "อิ๋ว" ผมตั้งต้นมาให้มันห่างกันไปไกลเชียว
เล่มวิจัยนี่เป็นเรื่องที่สาหัสเลยสำหรับผม เพราะผมแก้จนไม่รู้ว่าแก้ไปกี่ครั้ง คร่าว ๆ ผมคิดว่าน่าจะเกิน 100 รอบ แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ วิชาการใช้ Microsoft office การวาด Diagram เทคนิคการสืบค้นข้อมูล หรือการทำงานให้เรียบร้อยมากขึ้น ด้วยความเข้มงวดกวดขันของท่านอาจารย์ที่ปรึกษาของผม พอช่วงที่ผมนำเล่มไปตรวจผ่านสำนักบัณฑิต จึงได้แก้ไขแค่เพียงเล็กน้อยไม่มาก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
สรุปสั้น ๆ คือ ณ ตอนนี้ผมอยู่ในขั้นตอนการตรวจเล่ม เหลือไม่อีกกี่ขั้นตอนก็จะจบแล้ว และอยากจะสื่อสารสำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อปริญญาโทว่า คุณต้องมีทั้งความสามารถ เวลา เงิน และที่สำคัญคือ ความพยายามและ "อดทน" เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าคุณมีครบการเรียน ปริญญาไม่ว่าจะเป็น "โท" หรือ "เอก" ผมว่าไม่ยากเกินไป แต่ถ้าใจไม่สู้ อย่าไปคิดแค่ว่าเข้ามาเรียนเล่น ๆ ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะเสียทั้งเงิน เวลา หน้าที่การงานของคุณไปฟรี ๆ รวมถึงโอกาสที่คุณจะได้ทำอย่างอื่นอีกมากมายที่คุณจะต้องเสียมันไป
ปล. ในระหว่างทำวิจัยผมได้ลางานไม่เอาเงินเดือนเป็นระยะเวลา 1 เดือน
ปล. ผมไม่ได้ทำงานอื่น ๆ (Freelancer) นอกจากงานวิจัยไป 8 เดือน
ปล. ผมคิดจะเลิกเรียนวันละหลาย ๆ รอบ ในช่วงที่ทำวิจัย (เข้าข่ายโรงซึมเศร้า)
ปล. ผมไม่ได้ทำงานอื่น ๆ (Freelancer) นอกจากงานวิจัยไป 8 เดือน
ปล. ผมคิดจะเลิกเรียนวันละหลาย ๆ รอบ ในช่วงที่ทำวิจัย (เข้าข่ายโรงซึมเศร้า)
ปล. ตอนที่กรรมการสอบบอกให้ผมผ่าน น้ำตาผมซึมเลยทีเดียว
ปล. การแก้เล่มนั้นเป็นเรื่องที่เป็นปรกติมาก ๆ หรือแม้กระทั่งแก้ใหม่หมดทั้งเล่ม หรือทำแล้วไม่ได้ใช้ย่อมเป็นเรื่องปรกติ
ปล. จงทำวิทยานิพนธ์ด้วยตนเองจะดีที่สุด
เดียวผมจะกลับมาเขียนต่อในตอนต่อไปช่วงที่ผมรับปริญญาเสร็จ จะมาเล่าเรื่องการทำเล่มวิทยานิพนธ์ วิธีการปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่ผมได้เจอ รวมถึงเทคนิคการจัดเอกสารที่ผมได้ความรู้มา ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
สุดท้ายจริง ๆ ขอให้กำลังใจเพื่อน ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ ขอให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ววัน
สมัคร ชัยสงวน 04/12/2016
เดียวผมจะกลับมาเขียนต่อในตอนต่อไปช่วงที่ผมรับปริญญาเสร็จ จะมาเล่าเรื่องการทำเล่มวิทยานิพนธ์ วิธีการปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่ผมได้เจอ รวมถึงเทคนิคการจัดเอกสารที่ผมได้ความรู้มา ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
สุดท้ายจริง ๆ ขอให้กำลังใจเพื่อน ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ ขอให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ววัน
สมัคร ชัยสงวน 04/12/2016
ขอบคุณมากๆเลยครับ
ตอบลบสุดยอดเลยค่ะ
ตอบลบ