มีคนบอกว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครมีความสามารถมาตั้งแต่เกิด จะต้องมาหัด เรียนรู้ ฝึก เอาเท่านั้น คนเรียน ศึกษาแล้วเป็นไวกว่าเพื่อน เขานิยามกันว่ามนุษย์คนนั้นเป็นคนที่มีพรสวรรรค์ นั่นเองหลาย ๆคนมองเห็นตัวเองแล้วชอบดูถูตัวเองว่าเห้ยทำไมโง่จังเลยว่ะ! ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เรียนก็ไม่เก่ง ทำงานก็ไม่เป็น มีความท้อแท้ ถอท้อยอยู่ภายในใจ ผมคิด ๆเล่นตอนที่ผมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ เป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว เรื่องของการ"คิด"ตอนที่อยู่ในห้องน้ำตอนเช้า จนทำให้ผมเสียเวลาทำอะไรเยอะพอสมควร มีหลาย ๆ ครังที่ผมคิดวิธีที่แก้ปัญหาได้ตอนเข้าห้องน้ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกพอสมควร
พอดีนึกถึงคนเก่ง หลาย ๆคนที่ผมพบเจอมาในชีวิตเลยอยากมาแชร์ให้ฟังกัน
จริงไหมคนเก่งต้องเป็นเกย์ หรือเพศที่สาม
- หลาย ๆครั้งที่ผมเห็นคนที่เก่งถึงขึ้นที่เรียกว่าเชี่ยวชาญมาก ๆ ถึงมาที่สุดในเรื่องนั้น ๆ ส่วนมาก (โดยส่วนมากจะเป็นคนประเภทนี้) แต่ไม่ใช่ว่าประเภทที่เป็นธรรมดาไม่เก่งน่ะ ในส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะมาจาก คนประเภทนี้มีเวลาเยอะกว่าคนอื่น ๆ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับตัวเอง พอมีเวลามาก ๆ ก็เลยได้นำเวลานั้นไปหมกหมุ่นในเรื่องที่ตัวเองรัก มีเวลากับมัน พัฒนาฝีมืออยู่เนื่อง ๆ ต่างจากคนที่มีคู่ ไหนจะเวลาที่ต้องกินข้าวด้วยกัน พาไปดูหนัง ปลูกปาการัง ปลูกป่า ดำนำ ดูดิสนี่ ส่องสัตว์ กิจกรรมอย่างเยอะ เวลาของตัวเองก็น้อย ๆๆ ลงไปเรื่อย ๆ คือคุณจะได้แฟนแต่เวลาของคุณก็ไปกับแฟน และเวลาที่มีให้กับเพื่อน บางทีแฟนก็เอาไปด้วยเลย ปล.อันนี้แล้วแต่บุคคล อีกอย่างคือ คนประเภทเกย์นี่ มันองค์ประกอบทั้งผู้ชายและผู้หญิงอยู่ด้วยกัน คือ มีความ "เรียบร้อย" แบบผู้หญิง และมีความ "แข็งแรง"แบบผู้ชาย ทำให้ เขากลายเป็นคนที่มีทั้งความปราณีตทำงานเรียบร้อยเป็นระเบียบตั้งใจ และความอดทนใน มีหลายงานวิจัยบอกว่า ผู้ชายฉลาดกว่าผู้หญิง ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้หรือเปล่า แต่สำหรับผม ผมว่าใช่ แต่ผู้ชายมีความขี้เกียจกว่าผู้หญิงมาก ๆ การพัฒนามันเลยช้า เปรียบเหมือน กระต่ายกับเต่า ฉันท์ใด ฉันท์นั้น ผมเคยโดยอาจารย์สอนคณิตศาตร์ว่าให้ทีหนึ่ง อาจารย์ชื่อ "รัตนาพร" นายสมัคร เธอเป็นคนเก่งน่ะแต่ทำไมขี้เกียจจัง แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าผมเก่ง เพราะว่าผมเห็นเพื่อนผมที่เขาเก่งกว่า นั่นแสดงว่าผมยังไกลกว่าเพื่อน ด้วยความขี้เกียจ และมักง่าย ไม่รอบครอบ ขนาดเขียนหนังสือผิดยังขีดฆ่าตรงนั้นไม่ใช้ลิขิตแม้แต่อย่างใด สมุดเล่มหนึ่ง พลิกกลับไปกลับมา มี 5 วิชาอยู่ด้วยกัน
- การเจรจา ตอบคำถาม สนทนา มันก็บอกได้น่ะว่าคุณรู้หรือไม่รู้ รู้มากแค่ไหน ถ้าคุณรู้คุณต้องตอบได้อธิบายสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้โดยไม่ขัดกับหลักความเป็นจริงหรือกฏที่คนโบราณคิดค้นไว้ การพูดมันเกิดจากสมองที่สั่งงานมา นั่นแสดงให้เห็นว่าถ้าคุณ กล้าโตตอบเสวนา แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่คุณรู้ สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน มันก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าคูณเป็นคนที่มีความสามารถในเรื่องนั้น ๆมากน้อยเพียงใด รู้มากก็ตอบได้ลึกถึงระบบ อะตอม นาโนเมตร โครงสร้าง ส่วนประกอบ ลึกเท่าที่มีการค้นพบมา
- แน่นอนว่าต้องมีความมั่นใจในคำพูดของตัวคุณเองจะเป็นเครื่องการันตรีได้ว่า บุคคล คนนี้เป็นคนที่เก่ง ตอบคำถามได้ชัดเจน ตรงประเด็น มีเหตุและผล มันก็คือกริยาของคุณที่แสดงออกมา มีเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง เวลาคนเก่ง ๆ พูดฟังดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจ อาจเป็นเพราะว่าเราตามเขาไม่ทันความรู้ไม่ถึง อะไรทำนองนี้ และยังมีคนเก่งมาก ๆ แบบ มากเกิน เว่อร์ ไม่ค่อยพูดสุภาพชนเท่าไหร่ ยกตัวอย่างอาจารย์ "เฉลิมชัย" แต่ฟังแล้วรู้เรื่องดี ชัดเจน ฟังง่ายและมีเหตุผลในตัวของมันเอง
- ถ้าเอาจริง ๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นบ้างได้ก็ดี แต่ลึก ๆ จริงมันอยู่ที่ตัวบุคคลเสียมากกว่า สภาพแวดล้อมอย่างอื่นเป็นแค่องค์ประกอบ ที่บอกว่าจำเป็นบ้าง นั่นคือ สมมุติว่า นาย.ก ไปเรียน โรงเรียนดังระดับจังหวัด ตั้งแต่ อนุบาล เรียนมหาลัยมีชื่อเสียงระดับประเทศ การเรียนในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น แน่นอนว่า เขาจะเจอกับ อาจารย์ที่น่าจะ"เก่งน่ะ" อีกอย่างแน่นอนว่าต้องเรียนแข่งกับเพื่อน ๆ ซึ่ง เพื่อน ๆเขาเองก็กว่าจะสอบวัด คัดตัวกันเข้ามาเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ได้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่พร้อมต่อการศึกษา เครื่องมือเครื่องใช้ที่ครบครั้น อาจารย์ที่ให้คำตอบได้ทุกเรื่อง มีหลากหลาย มันคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ "เด็กเรียน" ใฝ่ฝันถึง แต่ถ้าไปอยู่ในสังคมแบบนั้น แต่กับกระทำตรงข้าม สภาพแวดล้อมเลยไม่ใช่เครื่องมือการันตีว่าคุณจบออกจากที่นั่น ๆ แล้วจะเก่งดี อะไรทำนองนี้ เห็นคนเก่งหลาย ๆคนเป็นคนขาดโอกาส แต่พยามสร้างใฝ่หาโอกาสให้ตัวเอง คนเหล่านี้ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะเป็นประโยชน์ในเชิงคุณภาพของชีวิตให้กับสังคม นั่นคือจะทำให้สังคมน่าอยู่ มากขึ้น == แล้วคนที่มีพร้อมอยู่แล้วล่ะ ? ในส่วนตัวผมคิดว่ายังเป็นส่วนน้อย ที่คนมีพร้อมอยู่แล้วจะเกิดการแบ่งปัน ส่วนมากเขาจะมองทุกอย่างเป็นธุรกิจ เงิน เงิน เงิน อย่างเดียว การเรียนให้เก่งก็เพื่อ ไปค้าขายกำไรของวงค์ตระกลูเท่านั้น น้อยคนนักที่อยากจะแบ่งปันให้สังคม
- ผมว่าเรื่องนี้จริง สังเกตจากที่นั่งเรียนเรื่องเดียวกันกับเพื่อนที่อยู่ในห้อง เพื่อนจะคอยถามเราอยู่นั้นแหละ ลอกการบ้านอยู่นั้นแหละ ทั้ง ๆที่เรียนก็พร้อม ๆกันหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ทำไมเข้าใจต่างกัน นั่นแหละ ที่บอกได้ว่ามนุษย์เรามีการเรียนรู้ รับรู้ เข้าใจ แตกต่างกัน แม้จะมี 32 ประการเท่ากันก็ตามแต่
- อันนี้ใช่แน่ ล้านเปอร์เซ็นต์ confirm ถ้าไม่ฟังใยเล่าเจ้ารู้ ถ้าไม่ดูใยเล่าเจ้าจะเห็น ถ้าไม่ทำใยเล่าเจ้าจะเป็น ถ้าคิดว่าตัวเองเรียนรู้ช้ากว่าคนอืน เป็นโรคความจำสั้น short memory ก็ต้องพยามทำสิ่งเหล่านี้ให้มาก ๆๆ กว่าคนอื่น ๆเขา และอีกอย่างแน่นอนว่าคนที่เก่งแล้วเขาก็ไม่ได้นอนรอให้สวรรค์มาประทานพรให้เขาแน่นอน เขาก็ต้องกระตือรือล้นในการเรียนไม่น้อยกว่าใคร ๆ หรือมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปด้วยซ้ำ
- บุคคลต้นแบบเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยไม่กว่าการลงมือทำแต่อย่างเดียว ในส่วนตัวผมเองตอนที่ผมมองเห็นเพื่อน ๆ ตอนทำข้อสอบคะแนนเพื่อน ๆ ที่ทำได้ดีกว่า หรือ การเขียนโปรแกรมที่เพื่อนไปไกลกว่า ผมยิ่งรู้สึกว่าผมด้อยกว่าและต้องรีบ ๆๆ และก็รีบกว่าคนอื่นที่จะอยู่ ดูเพื่อนไปไกลแสนไกล ไอดอลของผมตอนเรียนคือเพื่อนผมเอง ซึ่งเพื่อน ๆเป็นแรงบันดาลใจทุกอย่างที่ทำให้ผมตั้งใจและมุ่งมั่นในการเรียน เวลาที่ผมมองเพื่อนที่เก่ง ๆ ผมก็รู้สึกอยากเก่งอย่างโน่นอย่า่งนี้อย่างที่เพื่อน ๆเป็นอย่างที่เพื่อน ๆรู้ และสิ่งที่ผมรู้และเพื่อน ๆยังไม่รู้ คนต้นแบบหลาย ๆคนเขาก็มีบุคคลต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้ประสบความสำเร็จเหมือน ๆกัน ช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป คนต้นแบบ คนที่สร้างแรงบันดาลใจก็เปลี่ยนไป ไม่ทิ้งแต่ประยุคเอาสิ่งดี ๆ หลายสิ่งหลาย ๆอย่างของแต่ล่ะท่านมาปรับใช้ในชีวิต
- มีคนเคยกล่าวไว้ว่าคนเรียนวิทย์คณิต เป็นคนที่มีเหตุผลในการตัดสินใจ แตกต่างกันกับสายศิลป์ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจแต่ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่า คนที่เก่งมันก็เก่งแบบ เก่งคนละเรื่องกัน บางทีเก่งแบบ คือมันอธิบายไม่ได้ ด้วยหลักการอะไรก็แล้วแต่ ในเชิงศิลป์ อะไรทำนองนี้ สรุปคือ คนเรามันเก่งคนล่ะเรื่องไม่จำเป็นต้องเรียนสายวิทย์คณิต หรือคนที่เรียนสายวิทย์คณิตใชว่าจะเก่งกันทุกคน
สุดท้ายสิ่งที่่จะตอบโจทย์สังคมจริง ๆ คือถ้าคุณเก่งแล้วคุณสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมประเทศชาติ สิ่งนี้มากกว่าที่จะทำให้ความเก่งของคุณมีประโยชน์ และก็ไ่มควรทีจะนำความเก่งไปใช้ในทางที่ผิด สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน เหมือนหมอที่เรียนสูติ ไปเปิดคลินิคทำแท้ อะไรทำนองนี้ ===
ปล. ความเก่งสร้างได้ด้วยตัวเอง
สมัคร ชัยสงวน
08/04/2557 13:06
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น