การที่จะรู้ได้นั้นมีหลายวีธีด้่วยกัน เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน
- ฟัง คือการฟังจากผู้ที่รู้มาเราจะเข้าใจหรือไม่ก็อีกประการหนึ่ง แต่ถ้าเราฟังทีแรกเรางง ต่อไปฟังยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจ เด็กไทยมีปัญหาหนึ่งคือไม่กล้าถาม กลัวโดนว่า อายเพื่อน งง ก็ปล่อยให้งงต่อไป .. แล้วจะเข้าใจยังไงล่ะทีนี้
- พูด คือการถามจากผู้ที่รู้หรือการหาแนวทางความคิดของตัวเอง การกลั่นกลองจากสื่อ สิ่งที่ได้ยินได้ัฟังมา เพื่อเรียบเรียงเป็นความคิดคำพูดของตัวเอง ถ้าคุณพูดออกมาได้แสดงว่าคุณเข้าใจมันดีแล้วแหละไม่อย่างงั้น และอีกอย่างต้องถามคนที่ฟังคุณด้วยว่าเขาเข้าใจคุณหรือเปล่า ถ้าไ่ม่เข้าใจก็แสดงว่า ..คุณก็ยังไม่เข้า คุณต้องสามารถสื่อสารให้คนที่คุณฟังเข้าใจและเห็นผลลัพท์ที่ชัดเจนด้วย
- อ่าน คือการเรียนรู้ที่ดีแต่คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือกันไม่รู้ว่าเอาเวลาไปทำอะไรกัน การอ่านช่วยให้คุณเพิ่มพูนความรู้ของคุณได้ดีขึ้น แต่คนเราก็แปลกทั้ง ๆที่รู้ว่าต้องอ่านถึงจะรู้แต่ก็ยังไม่ยอมอ่าน ความรู้อยู่ในหนังสือทีคุณเรียน ถ้าคุณหยิบมันขึ้นมาอ่านแค่นั้นคุณก็ได้รับองค์ความรู้มากมายเกียวกับมัน ..
- เขียน เหมือนที่ผมกำลังเขียนเพื่อเป็นการทบทวนเข้าใจในตัวของผมเอง ผมไม่ต้องการให้ใครมาอ่านของผมแต่มันเป็นการจดบันทึกอย่างหนึ่ง เผื่อย้ำให้เข้าใจและมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมจำได้มากขึ้นด้วย
โดยส่วนตัวผมเป็นคนขี้เกียจเอามากแต่ผมจะตั้งใจตอนที่ผมเรียนอยู่กับ อาจารย์ท่านนั้น ๆก่อนที่ผมจะสอบผมจะหยิบหนังสือมาอ่านอย่างน้อยสุดสามรอบ ผมไม่รู้ว่าผมอ่านอะไรไปบ้างแต่ขอให้ได้อ่านและทบทวนมัน ความรู้เดิม ๆ ตอนที่เรียนก็เริ่มลอยเข้ามาในหัวของผมมันเริ่มกลายเป็นภาพที่ชัดเจน เริ่มมีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น .. แต่การทำอย่างนี้ไม่ดีเพราะคุณอาจจะไม่โชคดีทุกครั้งสิ่งที่อ่านไปบางทีอาจไม่ตรงกับที่้ข้อสอบจะออกมา เนื่องด้วยเวลาที่อ่านมีเวลาน้อยเลยจำเป็นที่จะต้องเลือกอ่านเฉพาะสิ่งที่มาร์คเอาไว้เท่านั้น เนื้อหาโดยรวมการเข้าใจอย่างท่องแท้หามีไม่
เทคนิคง่าย ๆสุดของการทำให้ได้เขียนให้เป็น เรียนให้เก่ง การเรียนอะไรก็ช่างในโลกนี้มีเทคนิคอยู่อย่างเดียวคือ ต้องรู้ที่มาที่ไป ..
คำว่า ที่มาที่ไปคืออะไร . เอาง่าย ๆสูตรคณิต ถ้าคุณไม่รู้ว่ามันมายังไง ใช้ไง แค่นี้จบแล้วชีวิตทำไม่ได้แน่ ๆ การเขียนโปรแกรม คุณจะเรียกใช้ฟังก์ชั่นอย่างใดอย่างหนึ่งแต่คุณไม่รู้ว่ามันมายังไง เรียกใช้แบบงง หรือมัี่่วมาถึงจะทำได้แต่คุณก็ไม่อาจเข้าใจมันอย่างดีว่าแรกเริ่มเดิมทีมาอย่างไร ..
อย่างไรก็ดี หลาย ๆคนเป็นคนขึี้เกียจ ชอบทำเฉพาะหน้าคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ผมก็คนหนึ่ง อันที่จริงควรจะศึกษามันอย่างท่องแท้ รู้ที่มาที่ไป ผมชอบพูดอยู่บ่อย ๆคือทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน
ถ้าไม่รู้ก็ควรศึกษา ในเืมือเสียเวลากับมันขนาดนั้นแล้ว คุณลองเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียวเพื่อศึกษามันต่อ ทำไมละไม่ทำ ? กิเลส ความเกียจ ค้าน โคตร ..ถ้าคุณปล่อยไปเรือย ๆ จะเกิดข้อความในใจทีคอยบอกว่า เดี๋ยวค่อยทำ เอาไว้ก่อน พอแล้ว แปบหนึ่ง . มันคอยบอกคุณไม่ให้ทำมัน จนกลายเป็นนิสัยติดตัว (สันดาน) นั่นเอง อันที่จริงไม่มีใครโง่ แต่ความขี้เกียจของคนมันต่างกัน คนที่ขี้เกียจมากก็จะรู้น้อย กว่าคนที่ขยันมาก .. ความรู้ที่ผมได้มาใช่ว่าหล่นมากจากสวรรค์ พระเ้จ้าประทานมาให้ไม่ใช่เลย ผมต้องอ่านเรียน ศึกษามัน และอีกอย่าง ผมไม่มีพรสวรรค์อันใดแต่ผมมีแต่ความบ้าบิ่นของผมที่อยากจะทำเพียงเท่านั้นเอง ..
สุดท้าย สรุปคือ ก่อนที่จะใช้อะไร คุณต้องหาที่มาที่ไปของมันให้ได้ .. ก่อนที่จะนำมาใช้ อย่าปล่อยความขี้เกียจกัดกินใจคุณ อย่าทำตามเพื่อน จงเป็นสิ่งทีคุณเป็น .. ถ้าไม่อยากเหมือนคนอื่นก็อย่างทำเหมือนคนอื่น .. เพื่อนผมเล่นเกมส์ ผมอ่านหนังสือ เพื่อนผมกินเหล้า ผมเขียนโปรแกรม เพื่อนผมเที่ยว ผมนั่งอยู่หน้าคอม เพื่อนผมนอนแต่หัวคำ ผมนอนเที่ยงคืนตีหนึง เพื่อนผมไม่ชอบพูด ผมจะแสดงออก เำพื่อนผมชอบนินทา ผมเฉย ๆ ฟังอย่างเดียว .. ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมไม่อยากเกียจใคร แค่คนอื่นเขาเกียจผมก็มากพอแล้ว .. มองโลกให้สวยงามทุกอย่างมีมุมที่ดีของมัน .. อุปสรรคทุกค่อยต้องเจอ "ชีวิตไม่มีทางลัด " ผ่านทางนี้ไปไม่ได้ .ก็ต้องกลับไปเดินใหม่ให้ทุึกอย่างถือว่าเป็นประสบการณ์ อย่าดีใจหรือเสียใจกับอดีตให้นาน มันจะทำร้ายคุณเอง ..
จงมีความฝัน แล้วเดินตามฝันของคุณ . .แล้ววันนี้คุณฝันว่าอยาก.....อะไร ?
สมัคร ชัยสงวน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น